เคยสงสัยบ้างไหมว่าเราเป็นเราอย่างตอนนี้ได้อย่างไร อะไรล่ะทำให้ร่างกายที่ประกอบขึ้นด้วยอนุภาคมูลฐานมีชีวิตชีวามีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ เรามีความรู้สึกรัก โลภ เกลียด หวงแหน และไม่อยากตาย หรือว่าจริง ๆ แล้วชีวิตเป็นมากกว่าที่เรารู้? ชีวิตคืออะไร ความตายคืออะไร สิ้นสุดที่ตรงไหน หรือว่าแท้จริงแล้วเราเป็นผู้เดินทางข้ามผ่านเวลาอันยาวนานอย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงทำไมเราจำไม่ได้ล่ะ หากเรามีชีวิตอยู่เพราะกรรม ทำไมธรรมชาติไม่สร้างให้เราจดจำอดีตชาติเพื่อแก้ตัว? ยังมีคำถามอื่น ๆ อีกมากมายที่ยากเกินจินตนาการ หากจะเปรียบแล้วมนุษย์เราก็ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ที่ถูกควบคุมด้วยระบบ AI ร่างกายของเราก็เป็นเพียงฮาร์ดแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วยโปรแกรมลึกลับบางอย่างที่ยากจะควบคุมแต่ก็ไม่ยากเกินเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดา... ปริศนาของชีวิตช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ แต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้นและมองมันด้วยมุมที่ต่างออกไป คำถามยาก ๆ ถูกแทนค่าด้วยคำอธิบายง่าย ๆ เชิงวิทยาศาสตร์ที่อ่านง่ายและจินตนาการตามได้จริง เมื่อเจาะลึกลงไปคุณจะพบว่าชีวิตแสนธรรมดาของเรานั้น มัน "ไม่ธรรมดา" เลยจริง ๆ

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เงิน ตอบได้ทุกโจทย์จริงหรือ ตอบความกลัวได้หรือไม่ ?

เงิน ตอบได้ทุกโจทย์จริงหรือ ตอบความกลัวได้หรือไม่ ?

 

 

 

 

 

ถ้ามี 20 30 ล้าน รับรองนอนใจได้ เกิดอะไรก็ไม่กลัว มีเงินซะอย่าง ป่วยก็รักษา มีเรื่องใช้เงินจัดการได้ ซื้อมันทุกอย่าง จ้างคนจัดการแทนก็ยังได้
 








เมื่อเงินคือสรณะ ทุกการกระทำโดยสำนึก ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว ทำแล้วได้เงิน และไม่เสียเงินคือถูก
คนยุคนี้จึงชี้การกระทำถูกผิดกันด้วยเงิน เงินคือทุกแรงบันดาลใจ





ศรัทธา ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม เป็นเรื่องรอง เพราะไม่นำมาซึ่งเงิน การกระทำเหล่านี้ จึงเป็นแนวของพระ หาใช่กิจของฆราวาส
หากหลักการและแนวทางเบื้องต้นถูก คนมีเงินย่อมไม่มีทุกข์ เงินน่าจะถูกวางอยู่บนหิ้งบูชา




อย่างไรก็ตาม ทุกหิ้งบูชายังมีพระ และย้งมีการกราบไหว้บนบาน จากผู้คนมากมาย กระทั่งจากผู้ที่มีเงินมหาศาล เพราะรู้ว่าตรงนี้แก้ความกลัวได้ คือพระปกป้องเราจากความกลัวได้

วิธี การคือ บางคนไหว้ด้วยความเคารพบูชาเพราะเข้าใจในคำสอน และปฏิบัติตามคำสอนเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ พ้นจากความกลัวทั้งหลายตามคำสอน ขณะที่บางคนไหว้เพื่อขอ คือขอให้พระช่วย หรือจ้างให้ช่วยโดยใช้เงินซื้อบุญซะเลย
เพราะซื้อบุญแ้ล้วพระต้องช่วย ซื้อบุญมาก พระต้องช่วยมาก ตามหลักการที่มีเงินเป็นสรณะ โดยไม่สนใจจะรู้วิธีทำให้พ้นทุกข์เหมือนกับจ้างคนมาทำให้เราหายกลัว โดยไม่สนใจจะเรียนรู้วิธีการ เพราะถ้าทำเป็นจะจ้างเหรอ.....

คำถาม คือ ทำไม ศีลธรรม จึงเป็นเรื่องของพระ ทำไมการทำความเพียร ความสงบ การไม่จองเวร ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อสู้เพื่อเงิน จึงเป็นเรื่องของพระ
คำตอบคือ ก็ท่านเป็นพระ เป็นคนที่สวมผ้าเหลือง เลยต้องทำให้ถูก ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง
คำถามที่ตามมาคือ เป็นตัวอย่างให้ใคร ถ้าไม่ใช่เราผู้ต้องเผชิญกับทุกข์แห่งความกลัวทุกวัน ?!?!

จริง แล้วเราทุกคนรู้อยู่ว่า ทำอย่างไรจึงพ้นทุกข์พ้นกลัว เพราะผู้ที่กระทำตัวอย่างให้เราดู คือผู้ที่กำลังพยายามจะพ้นทุกข์พันกลัว คือพระ ซึ่งต้องทำทุกอย่าง ตรงข้ามกับการมีเงินเป็นสรณะนั่นเอง




ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว ตกลงใครมาโกงก็ต้องให้เขาไป ไม่เอาเรื่องใช่หรือไม่
หากสงสัยก็ลองตอบตัวเองดูว่า หากเห็นพระทะเลาะขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้อง แจ้งตำรวจจับคนโกงวัดเข้าคุก มันใช่แนวทางที่ควรจะเป็นหรือไม่

ถ้าตอบได้ ก็ตอบตัวเองได้ เพราะสิ่งที่พระกระทำคือ การกระทำเพื่อพ้นทุกข์ พ้นกลัว
  


วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มหาสติปัฏฐาน 4 วิธีออกจากทุกข์ด้วยการเป็นผู้ดู

   

      ผู้ดูไม่เจ็บ อันนี้เป็นเรื่องจริงที่ใครก็เถึยงไม่ได้ เวลาดูมวย หลายคนมักตะโกนสั่งตะโกนสอนกันอุตลุด 'อย่าเข้าไปคลุก บอกว่าอย่าเข้าไปคลุก รู้ว่าวงในสู้ไม่ได้ ยังเข้าไปอีก',

 'ซ้ายเปิด ทำไมไม่ต่อย', 'ทำไมไม่ฉากออกว๊า เข้ามุมทีไรเจ้บทุกที', 'โห บื้อขนาดนี้ กลับไปเลี้ยงลูกดีกว่ามั๊ง'

ทุกกลยุทธเหล่านี้ หากให้ผู้พูดขึ้นไปชกเอง คงต้องกลับบ้านไปเลี้ยงลูกเหมือนกัน เพราะตอนเป็นคนดูมันไม่เจ็บ สมองมันว่างพอจะเห็น จะคิด จะวิเคราะห์ แต่ตอนไปต่อย มันนัวเนีย มัวหัว มัวตา กลัวเจ็บ กลัวจอด มันจะเอาหัวที่ไหนไปคิดทัน แค่กันไม่ให้เจ็บเฉพาะหน้าก็เกินรับแล้ว


เวลาคนอยู่ในปัญหา ในทุกข์ก็ไม่ต่างจากคนชกมวยเท่าไหร่ มันวนอยู่แต่ทุกข์แต่เจ็บ จะเอาตอนไหนไปแจ่มใสพอจะแก้ทางแก้ทุกข์ได้


นักมวยต้องฝึกหนทางแก้มวย ทุกทาง ทุกวิธี ที่คิดได้ และนำไปฝึกหนักกันทุกวัน วัตถุประสงค์เพื่อฝังข้อมูล ฝังทุกภาพที่จำลองเอามาจากของจริงที่เคยผ่าน และฝังจำทุกวิธีแก้ที่คิดขึ้นได้เข้าไปจนมีน้ำหนักการจำซ้ำ ทำซ้ำมากพอที่จะถูกบรรจุเข้าในระบบอัตโนมัติ ที่เราเรียกกันว่าความชำนาญ ซึ่งตอบโต้ได้ไว ใช้เวลาคิดน้อย และหากถ้าทำเยอะเข้าๆ ความชำนาญจะถูกพัฒนาขึ้นเป็นสัญชาตญาณที่ไม่ต้องการเวลาในการคิด ทำให้ตอนชกไม่ต้องเสียเวลาคิด พอเห็นภาพการกระทำของคู่ต่อสู้ที่เราเฝ้าจดเฝ้าจำมาตลอด ยุทธวิธีตอบโต้ที่ถูกฝังไว้ก็จะถูกนำมาใช้เองโดยอัตโนมัติภายใต้การทำงานของจิตใต้สำนึก หรือ AI (ระบบปัญญาประดิษฐ์)


ระบบตัดสินใจอัตโนมัติของมนุษย์ ใช้วิธีจำภาพ (photo recognition) ไม่ได้คำนวน เพราะหากจะหลบรถมัวแต่คำนวน ระยะทาง/ความเร็ว ของวัตถุ 2 สิ่งที่กำลังตรงเข้าหากัน แค่คำนวนแรกเพื่อหาระยะทางจากภาพที่ใหญ่เข้่ามาๆ ก็ชนแล้ว หมัด ก็เช่นกัน เห็นเขาออกหมัดมาแล้ว มัวแต่คำนวนก็คงได้ถูกหามลงแน่


ดังนั้น หากรอทุกข์เกิด แล้วค่อยคิด ก็ไม่ผิดกับมือใหม่หัดขับ จับพวงมาลัยจนเหงื่อนชุ่มแล้วชุ่มอีก ทุกข์ทีก็เสียแรงจิตแรงใจไปมหาศาลกว่าจะหลุดออกจากวังวนได้เล่นเอาต้องหมดพลังงานจนอ่่อนเปลี้ยเพลียแรงกันเสียก่อนจึงหยุดสะลึมสะลือได้สักพัก พอมีแรง ก็เอาอีก คิดใหม่ ทุกข์ใหม่อีก จนมันซ้ำบ่อยเข้่าๆ นานเข้าๆ ก็เริ่มมีน้ำหนักมากพอยอมรับเป็นทุกข์ปกติได้ถึงเลิกทุกข์ เหมือนกับพอขับนานเข้าๆ ก็เก่งก็ไม่เกร็งไม่มีเหงื่อซึมออกมือแล้ว

 

การดูจิต หรือ มหาสติปัฏฐาน 4 เป็นทางสายเดียวที่จะออกจากทุกข์ได้ กรรมวิธีก็เหมือนกับการฝึกชกมวย คือฝึกดูภาพและผลของทุกข์ที่เกิดที่ใจ และฝังทางแก้ คือความสงบผ่อนคลายไว้ให้มากพอ จนเมื่อภาพทุกข์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น เจ็บป่วยทรมานจากโรคภัย น้อยใจ เสียใจ อยากได้ กลัวเสีย วิตก เครียด หวาดกลัว กระวนกระวาย โมโห เขินอาย อิหลักอิเหลื่อ ฯลฯ ตลอดจนทางแก้คือ 'สงบสยบเคลื่อนไหว' ถูกบันทึกเข้าไปในระบบอัตโนมัติ จนถึงระดับสัญชาตญาณ พอทุกข์ในรูปแบบต่างๆที่เคยถูกบันทึกไว้เกิดขึ้น ระบบ AI ก็จะเข็นเอาความสงบออกมาผ่อนคลายให้เอง ทุกข์ทางใจก็จะหมดไป


แล้วทุกข์ทางกายภาพล่ะ ไอ้ที่จน มันก็ยังจน ไอ้ที่เจ็บป่วย มันก็ยังป่วย มันจะหายไหม คำตอบคือไม่หาย แต่ไม่นับเป็นทุกข์อีกแล้ว เพราะใจมันสงบอยู่ มันจะทุกข์ได้ยังไง มันทำงานได้ทีละอย่าง เมื่อใจดีใจสบาย สมองก็ปลอดโปร่ง ความถี่ที่ส่งออกไปรอบตัวก็ดี ความถี่หรือกรรมสะท้อนกลับก็ต้องดีตามเป็นลูกโซ่ สิ่งดีๆก็อาจจะเวียนเข้ามาในชีวิตเอง หากไม่ได้ปล่อยสิ่งไม่ดีออกไปเยอะเกิน กรรมมันเข้าออกตามคิว ตามหนัก ตามเบา ตามหยาบ ตามละเอียดของจิตของใจทีส่งออกไปรอบทิศตลอดเวลา

ฝึกมหาสติตลอดเวลา ภายในที่ได้คือสัญชาตญาณที่สามารถออกจากวังวนของทุกข์ได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร ภายนอกที่ได้คือกระแสสงบเย็นที่ถูกปลดปล่อยออกมาตลอดเวลาจะเรียกหาความสงบเย็นกลับมาให้เช่นกัน.....

 Link มหาสติปัฏฐาน 4 http://dungtrin.com/index.php?option=com_docman&task=cat_view&gid=95&Itemid=299

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลางสังหรณ์ ญาณหยั่งรู้ สำเหนียกภัย กับพระคาถาชินบัญชร

ก่อนเกิดคลื่นใหญ่ จะมีคลื่นระลอกเล็กๆ วิ่งเข้ามาก่อน





          กรรมอันเป็นความถี่สะท้อนกลับจากการกระทำของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือ ใจ หากเป็นกรรมใหญ่ ระลอกเล็กๆ คือความถี่น้อยๆจะวิ่งเข้าถึงเราก่อน ซึ่งหากใครสวดพระคาถาชิันบัญชร (อย่างเข้าใจในความหมาย) เป็นประจำมาเป็นเวลายาวนาน จะสามารถจับสัญญาณกรรมที่วิ่งเข้ามาชนได้โดยอัตโนมัติ กล่าวคือ ก่อนกรรมใหญ่จะเข้า เสียงสวดจะแว่วขึ้นมาในใจ เหมือนใจกำลังสวดเอง เผลอเป็นได้ยินเสียงสวด เผลอเป็นได้ยินเสียงสวด มากน้อยขึ้นกับระดับกรรม หากถี่มากเหตุการณ์ที่จะเกิดจะเป็นเหตุรุนแรง ถี่น้อยก็เป็นเหตุน้อย


สัญญาณเตือนภัยนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

          ทางด้านกายภาพ หากใครสวดพระคาถาชินบัญชรอย่างเข้าใจในคำแปล สิ่งที่ได้คือเลือดลมเดินสะดวก เพราะมีการกำหนดจิตไปรับรู้ในจุดต่างๆทั่วร่างตลอดจนทิศต่างๆ รอบกายอย่างมีระบบ ในลักษณะเดียวกับการเดินลมปราณ ซึ่งพระผู้แต่งพระคาถานี้คงตรึกมาดีแล้ว


           ทางด้านจิตใจ เนื่องจากบทสวดประกอบไปด้วยการร้องขอให้พระชิน หรือ ผู้ชนะ คือพระอรห้นต์ทั้งหลายในพระพุทธเจ้าช่วยปกปักรักษา เป็นปราการ เป็นเกราะเพชรป้องกันภัยจากอันตรายทั้งปวงให้กับเรา ในลักษณะการฝังถ่วงน้ำหนักเข้าฐานข้อมูลในสมองว่า การทำงานของพระคาถานี้ = การป้องกันภัย ดังนั้นไม่ว่าความถี่ของภัยอันตรายใดถูกรับรู้ จิตใต้สำนึกที่ถูกสั่งไว้ทุกวันๆ จะเริ่มสวดขึ้นเอง ทำให้เรารับรู้และแยกแยะได้ง่ายว่าความรู้สึกเล็กๆที่เราเรียกว่าลางสังหรณ์กำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพราะมีเสียงสวดเป็นสัญญาณยืนยันว่ามีสัมผัสของอันตรายจริง ไม่ได้คิด หรือรู้สึกไปเอง ทำให้เราระวังตัวมากขึ้น สงบขึ้น ไม่ส่งความถี่แรงๆออกไป คิดถึงแต่พระอรหันต์ในพระคาถาซึ่งมีแต่ความสงบเย็นเป็นลักษณะ ผลกรรมต่างๆ ที่จะเข้ามาสนองเลยเบาแรงลง เพราะจิตเราอยู่ในภาวะละเอียดแน่น ความถี่หยาบเลยไม่เข้าพวกเท่าไหร่ กรรมก็ถูกบรรเทาไปในลักษณะนี้

และนี่คืออานิสงส์ของพระคาถาชินบัญชร....

http://2devreg.com/dr1/index.php/2012-03-02-16-32-48/140-chinbunchon

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การแผ่เมตตา

การแผ่เมตตา


การแผ่เมตตา คือการสำรวมจิตตั้งสมาธิกระจายความถี่ละเอียด หรือ ความสงบเย็นออกไปรอบทิศ หรือ เจาะจงไปยังจุดใดจุดหนึ่ง เพื่อให้ผู้รับสัมผัสได้ถึงความสงบเย็นที่เรากำลังดำเนินอยู่ เหมือนสัมผัสได้กับกระแสลมอ่อนเย็น วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างจังหวะให้เขาเหล่านั้นเย็นลงชั่วขณะ หากเขากำลังเร่าร้อนอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้สติมีช่วงได้เกิด ซึ่งอาจส่งผลให้หลุดจากความเ่ร่าร้อนที่กำลังวนเวียนอยู่ได้ เหมือนกับการหยุดสะกิดใจกันสักนิด เผื่อชีวิตจะผิดทางอะไรทำนองนั้น จึงสรุปได้ว่าการแผ่เมตตาคือการสร้างโอกาสให้ดวงจิตที่กำลังเร่าร้อนได้สติ หากดวงจิตเหล่านั้นยังพอรับความถี่ดีๆนี้ได้ ดังนั้นการแผ่เมตตาจึงไม่ได้เป็นไปเพื่อการไล่ทุกข์ ไล่ผี หนีกรรม หลบเหลี่ยงผัดผ่อน ไม่ยอมชดใช้ผลจากการกระทำอันไม่น่าพึงพอใจของเราเอง ดังที่หลายคนคิดและทำกันอยู่ เพราะการแผ่เมตตาลักษณะนี้มีรากฐานความคิดแตกต่างจากการแผ่เมตตาแท้จริงชนิดคนละข้างเลยทีเดียว เนื่องจากการกระทำนี้ เริ่มจากความกลัว ความไม่ต้องการพบกับสิ่งอันไม่พึงประสงค์ กระแสจิตที่เกิดจากรากฐานนี้ย่อมไม่ใช่จิตที่สงบเย็นเป็นสุข กระแสที่ส่งออกไปย่อมไม่ใช่ความถึ่ละเอียด แล้วผู้ที่ได้รับ หรือรับได้ จะรู้สึกดีได้อย่างไร นอกจากไม่รู้สึกดีแล้วยังรู้สึกไม่ดีกับผู้ส่ง ไม่ต่างกับการได้ยินเสียงรบกวนจากคนข้างบ้านยังไงยังงั้น คนสวด นะโมตัสสะ เพื่อไล่ผี กับ คนที่ตั้ง นะโมตัสสะ เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ยังไงก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด....

การทำบุญใส่บาตรส่งความสุขให้กับผู้ที่จากไปได้จริงหรือ


 เวลาได้ยินข่าวดีของลูกหลาน แม้เราไม่ได้ผลประโยชน์อะไรกับเรื่องดีๆ อันนั้นเลย เราก็ยังมีความสุข คือพลอยยินดีไปกับความสุขนั้นๆ ที่พวกเขาได้รับ

จิตยามยินดี ย่อมเป็นสุข ไม่ได้เป็นทุกข์

การ ทำบุญใส่บาตรให้ผู้ล่วงลับจึงเป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้ ความสุขที่เขาได้รับ ไม่ได้มาจากสิ่งของเงินทองที่เราทำให้ แต่มาจากความสงบสุขของเรา ความรักความห่วงใยที่เราแสดงออกต่างหากที่ทำให้จิตเขาสงบเย็นเป็นสุข ดวงจิตอิ่มเอิบ ซึ่งชาวพุทธเรียกกันว่า อนุโมทนา นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มนุษย์เกิดมาทำไม และอยู่เพื่ออะไร


คำถามยอดฮิตสำหรับนักคิดจิตตก (ทางโลกเรียกจิตตก ทางธรรมเรียกจิตตื่น)

ยามใดจิตสงัดจากเรื่องวุ่นวายที่ผูกมัดร้อยรัดตัว มันจะตื่นขึ้นมารู้ความจริงว่าสุดทางคือตาย เลยมักเกิดคำถามผุดขึ้นในใจว่า แล้วมันจะเกิดมาทำไม และอยู่เพื่ออะไร

คำตอบคือ มาเกิดในเซลล์แรกกำเนิดเพื่อหาแหล่งพลังงานใหม่ แล้วเริ่มผลิตพลังงานเองเพื่ออยู่ต่อ และตายเพราะแหล่งผลิตพลังงานเก่าหมดประสิทธิภาพ เลยต้องไปหาโรงผลิตใหม่
















ชีวิตมีอยู่เท่านี้จริงๆ เจ้าตัวคำสั่งหาพลังงานนี่ก็เป็นแค่โปรแกรมเล็กๆ มีหน้าที่เป็น sensor วัดพลังงาน ติดตั้งอยู่บริเวณต่อมไพนีัลใต้สมองส่วนกลาง เป็นต่อมเล็กนิดเดียว






เมื่อไหร่มันวัดพลังงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานมันก็ส่งตัวเองไปหาที่ติดตั้งใหม่เหมือนกับเราส่งอีเมล์ไปยังจุดหมายที่ใช้รูปแบบ หรือ Protocol เดียวกัน ทุกเรื่องของชีวิต จึงมีแค่หาพลังงานไม่มีเรื่องอื่น การกระทำต่างๆของมนุษย์ไม่มีเรื่องใดไม่เกี่ยวไม่ข้องกับการหาพลังงาน ไม่หาจากตัวเอง ก็หาจากคนอื่น
 


แหล่งพลังงานภายในเกิดจากการกินเอาสารอาหาร nutrients การหายใจเอา oxygen เข้าไปผลิตเป็นก้อนพลังงานเรียกว่า ATP ที่สามารถระเบิดในเนื้อเยื่อต่างๆ ให้เกิดการหดขยายของกล้ามเนื้อ เกิดเป็นการเคลื่อนไหวต่างๆ คนเลยต้องกิน ต้องหากิน ต้องทำกิน ต้องแย่งหากิน ต้องเก็บตุน ก็เพื่อหาวัตถุดิบไปผลิตพลังงานนี้
 


นอกจากแหล่งพลังงานภายในแล้ว มนุษย์ยังสามารถหาแหล่งพลังงานภายนอกมาใช้ได้ นั่นคือ ใช้แรงงานคนอื่น ใช้เครื่องทุ่นแรง เครื่องมือ เครื่องจักร มาทำแทนตน เพื่อประหยัดพลังงานของตน ซึ่งจะกระทำอย่างนี้ได้ ต้องมีการแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงิน หรือ ใช้อำนาจ ลงท้ายก็เพื่อใช้คนอื่นนั่นเอง
 ความได้เปรียบเสียเปรียบของการแลกเปลี่ยนพลังงานเริ่มที่ตรงนี้ ใครใช้พลังงานตัวเองน้อย แลกเปลี่ยนได้พลังงานคนอื่นมากก็ดี ก็ได้เปรียบ พอทำให้ตัวเองได้ ก็เริ่มทำให้ตัวคนอื่นที่นับว่าเป็นของตนด้วย ไม่ว่าจะทำเพื่อครอบครัว เพื่อนฝูง หรือพวกพ้อง  การเอารัดเอาเปรียบ ความเห็นแก่ตัวต่างๆ ตลอดจนการแสวงหาเงิน และอำนาจ ก็เกิดขึ้นตรงนี้ ครั้นหาไปนานๆ เลยไปติดการต่อสู้ แก่งแย่ง ชิงดี ติดเงิน ติดอำนาจ ติดวาสนา(คือสบาย ใช้พลังงานน้อย) จนลืมเลือนปฐมเหตุของการประหยัดพลังตัวเองซึ่งแท้จริงไม่ได้ต้องการมากมายอะไรนักไป จนบางคนถึงกับเกิดคำถามกับตัวเองว่า กินก็แค่นี้ อยู่ก็แค่นี้ ทำไมต้องหา ต้องก่อกรรม ต้องต่อสู้ มากมายขนาดนั้น แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ เพราะมันหาจนโปรแกรมจิตใต้สำนึกหรือ AI (Artificial Intelligence) บรรจุเป็นระบบอัตโนมัติไปแล้ว ไม่หาหัวใจก็โดนกระตุ้นให้กระวนกระวาน ใช้มากก็เสียดาย หัวใจโดนกระตุ้นอีก เลยเก็บไปจนตาย ลงท้ายให้คนอยู่ไปใช้แทน ทั้งที่คิดว่ามีอำนาจ วาสนา ใช้พลังงานใครก็ได้ แต่ร่างกายตัวเองกลับเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน จนไม่สามารถผลิตพลังงานน้อยนิดเพื่อยังชีวิตได้ เลยตาย สิ่งที่เหลือไม่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด มีพลังให้ใช้เหลือเฟือขนาดไหน ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปเพราะรับเข้าไม่ได้แล้ว ต้องไปหาแหล่งพลังงานอื่น เริ่มจาก 0 ใหม่


 





เรื่องชีวิตเลยมีอยู่เท่านี้ หากตื่นมารู้ว่ามันมีเท่านี้ พฤติกรรมต่างๆ ก็จะกลับมาสมเหตุดังเดิม คืออยู่อย่างพอเพียง ตอนจะไปเกิดอีกทีรูปแบบที่จะไปก็จะสงบ ไม่เร่าร้อน Protocol ที่จะไป ก็จะอยู่ในย่านความถี่ละเอียดที่สูงกว่าย่านความถี่ของมนุษย์



วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ถ้าวัดอารมณ์เป็นตัวเลขได้ โลกจะเป็นยังไง


ตอนนี้คุณกำลังโกรธอยู่นะ ไว้ใจเย็นลงหน่อยแล้วค่อยคุยกัน
ฉันไม่ได้โกรธสักหน่อย

จะว่าไม่โกรธได้ยังไง ตัวเลขที่กำไลวัดอารมณ์ไปถึง 80 แล้ว ยังว่าไม่โกรธอีก รอให้เหลือ 30 แล้วค่อยคุยกันใหม่เถอะ

หรือว่า

เป็นอะไร ความกลัวขึ้นไปถึง 90 แล้ว
ไม่รู้สิ เป็นอะไรไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็กลัว
งั้นลองนั่งสวดมนต์ทำสมาธิสัก 20 นาทีซิว่ามันจะลดลงมั๊ย

โห ลดลงเหลือ 20 แล้ว ดีจังเลย สบายใจขึ้นมากทีเดียว

เหตุการณ์สมมุติเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ถ้าเราสามารถผลิตเครื่องวัดอารมณ์เป็นกำไลพกพาได้
















หลักการก็ไม่ยากอะไร เพียงรวบรวมระบบวัดสัญญาณชีพทั้ง 5 ตัว คือ อุณหภูมิ ความดัน จังหวะหัวใจ จังหวะหายใจ และจำนวน Oxygen แบบที่ใช้วัดกันในห้อง ICU มาย่อใส่ในกำไล โดยมีฐานข้อมูลเก็บประวัติตัวเลขระหว่างมีอารมณ์ต่างๆ ไว้เปรียบเทียบ เราก็จะสามารถแสดงระดับอารมณ์ออกเป็นตัวเลขได้ไม่ยาก เพราะอารมณ์คนเกี่ยวพันกับสัญญาณชีพอย่างแยกกันไม่ออกอยู่แล้ว อย่างตอนโกรธ หัวใจจะเต้นแรง ความดันสูง อุณหภูมิสูง หายใจเร็ว แรง เพื่อเอา oxygen เข้าไปช่วยสันดาปให้มาก เพื่อเตรียมตัวสู้ ตอนกลัวคนก็หายใจเบา หัวใจเต้นเร็ว อุณหภูมิต่ำ ความดันต่ำ เพื่อกักเก็บพลังงานไว้หนี การวัดอารมณ์เลยไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้




















ประโยชน์ของการวัดอารมณ์ คือการสร้างตัวควบคุมยามรู้สึกไม่ดี เอาไว้เปรียบเทียบกับตัวเลขหลังปฏิบัติการแก้ไขอารมณ์ต่างๆไปแล้ว ว่ามีผลคืบหน้าประการใด ไ่ม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ดูหนังฟังเพลง ตลอดจนการแทรกแซงอารมณ์ต่างๆ เช่นชวนคุย เป็นต้น ซึ่งการวัดค่าได้นี้ จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาของอารมณ์แต่ละแบบทำได้ถูกวิธีมากขึ้น จนสามารถกำหนดเป็นแนวทางที่วัดผลได้จริง












ในทางกลับกัน ก็สามารถทำให้คนรู้สาเหตุแห่งอารมณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจนสามารถหลีกเลี่ยงต้่นเหตุนั้นๆได้ เพราะถ้าเราเห็นว่าการไม่พอใจเล็กๆ น้อยทำให้ตัวเลขมันสูงจนอาจเป็นผลเสียต่อหัวใจ ความดัน หรือ ความตึงของผิวหน้าผิวหนังเนื่องจากถูกดูดเอาพลังงานออกไปใช้จำนวนมากจนเหี่ยว ก็จะได้คิด และไม่ค่อยอยากมีอารมณ์สักเท่าไหร่













เมื่อรักษาอารมณ์ รักษาจิต รักษาใจ ไปได้นานๆ ความสงบก็จะเกิดขึ้นในใจเป็นปกติ และอาจระบาดความสงบไปทั่วสังคมจนเกิดยุคประชาสุขสรรค์ก็เป็นได้

^_^

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ต้นเหตุแห่งทุกข์ 2


คราวนี้มาดูกันว่า ร่างกายเอาพลังงานจากไหน มาใช้ขยับกล้ามเนื้อทำให้เกิดการเคลื่อไหวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอริยาบท หรือการทำงานของเครื่องจักรภายในทุกระบบ ตลอดจนการเกร็งที่หัวใจ และสมอง อันเป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บ จนรู้สึกเป็นทุกข์



พลังงานเหล่านี้ เราเรียกกันว่า ATP (Adenosine triphosphate) เปรียบได้กับลูกกระะเทียม (คล้่ายกับประทัด แต่เป็นลูกกลมๆเล็กๆ ไม่ต้องจุดไฟ ใช้ขว้างใส่พื้นให้ระเบิดแทน) ผลิตจากโรงผลิตชื่อ ไมโทคอนเดรีย ที่ตั้งอยู่ในทุกๆเซลล์ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นเซลล์เนื้อเยื่อของหัวใจ หรือของสมอง (ยกเว้นเซลล์เลือด)

ATP ประกอบไปด้วย phosphate, oxygen, hydrogen และ nitrogen
phosphate เป็นตัวเชื้อประทุ ได้รับเคมีคำสั่งจากสมองก็ประทุ oxygen เป็นตัวโหมโรงช่วยให้ไฟติด hydrogen เป็นตัวติดไฟคือก่อแรงระเบิด nitrogen ไม่่ติดไฟ คงที่ ไม่ขยายมั่ว เป็นตัวสะเก็ดเสริมแรงระเบิดดันกล้ามเนื้อให้ขยายตัวในแนวขวาง ทำให้เส้นกล้ามเนื้อหดตัวกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดจากแรงดึง และแรงปล่อยเมื่อหมดแรงระเบิด และจะระเบิดอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีเคมีคำสั่งหยุดจากสมอง

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ต้นเหตุแห่งทุกข์ 1


ต้นเหตุแห่งทุกข์เกิดจากใจรับเข้าข้อมูลอันไม่พึงปรารถนา (สิ่งไม่พึงปรารถนา คือสิ่งที่มีผลกระทบไม่ดีต่อสัญญาณชีพ คือ ความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ จังหวะการหายใจ อุณหภูมิ และ การใช้ oxygen)

ขณะที่ผลคือ 'ตัวทุกข์' เป็นอาการทางกายที่เกิดจากการที่สมองใช้เคมีคำสั่งจุดชะนวนระเบิดในเซลล์บริเวณหัวใจถี่ขึ้นเพื่อให้ปั๊ม oxygen เข้ามาเยอะๆ สำหรับเตรียมเข้าสู่สภาวะสงคราม คือใช้กำลังต่างๆแก้ไขปัญหาอันเป็นต้นตอของข้อมูลอันไม่พึงปรารถนานั้น



ตราบใดที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข คำสั่งยังคงดำเนินต่อไป ความทุกข์ก็จะยังคงอยู่


อย่างไรก็ตาม ความทุกข์ ก็ไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไปเช่นกัน
เมื่อระเบิดถูกใช้หมด พลังงานก็หมด ร่างกายก็อ่อนเพลีย คือต้องพักเพื่อผลิตพลังงานใหม่ ความทุกข์ก็บรรเทาไปได้ระยะหนึ่ง จนแต่ละเซลล์ผลิตพลังงานขึ้นมาใหม่ได้เพียงพอ การระเบิดก็เริ่มใหม่ ความทุกข์ก็เริ่มหมุนมาใหม่ เป็นอย่างนี้ไม่เรื่อยๆ จนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข หรือจนกว่าระบบรับรู้ได้ว่าปัญหาไม่สามารถแก้ไขที่ภายนอกได้ ก็จะเริ่มปรับปรุงระบบภายในแทน ซึ่งเราเรียกกันว่า 'ชิน'

ยกเว้นแต่พวกกำลังใจน้อย หรือแพ้ใจเอามากๆ คือไม่ทน ไม่ได้รู้ตามจริงว่าทุกอย่างไม่เทีียง ไม่คงอยู่ เป็นได้ก็หายได้ หายไม่ได้ก็เกิดใหม่ได้

พวกนี้โดนระเบิดเข้าไปมากๆ ทนไม่ไหว แก้ไขภายนอกไม่ได้ ภายในก็ยังน้ำหนักไม่พอ ยังไม่ชิน เลยดันเลือกทางตายไปซะก่อน ก็เลยอดรู้จักคำว่า 'ชิน' กับความทุกข์ไปอย่างน่าเสียดาย มีต่อ........

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

ทุกข์หายเมื่อเห็น


ใครเคยเล่น หรือเคยดูตะกร้อบ้าง
เวลาคนเตะลูกแป จะเห็นมือที่อยู่คนละฝั่งกับเท้าที่เตะมีอาการเกร็งหงิกงอ

หากมีคนไปถามว่าเกร็งทำไม ไม่ได้ใช้มือเตะสักหน่อย
เจ้าตัวก็จะรู้ตัว แล้วคลาย แล้วหายเกร็ง เพราะเห็นตามจริงว่าไม่รู้จะหงิกไปทำไม



ทุกข์ก็เป็นอาการเกร็งอย่างหนึ่ง ต้องใช้พลังงานมาทำให้เกร็งที่หัวใจ กับสมอง ถ้าเห็นว่ามันเกร็ง ก็เลิกเกร็งซะมันก็หาย ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขที่รากเหตุของมัน เพราะเหตุแท้จริงที่ทำให้เจ็บ และเป็นทุกข์คือมันเกร็ง

ถ้าอกหักแล้วยังยิ้มสบายๆ หัวใจไม่เกร็ง สมองไม่เกร็ง แล้วมันจะทุกข์ได้งัย จริงมะ

พอสมองสั่งมาให้หัวใจ ให้สมองเกร็ง เราเห็น เราก็สั่งให้คลาย เป็นอย่างไปสักพัก สมองมันก็เลิกสั่งไปเอง เพราะไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป ร่างกายเรารู้จักปรับตัว อะไรที่โดนซ้ำๆ มันจะชิน แล้วเฉย แล้วไม่นับเป็นทุกข์ในที่สุด

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

ต่อมต่อมไพเนียล


โรคซิมเศร้าเกิดเพราะต่อมนี้ทำงานไม่สมบูรณ์
ต่อมทำงานไม่สมบูรณ์เพราะมันทำงานตอนมืด เลยถูกเรียกอีกชื่อเป็น ต่อมแห่งความมืด มันจะทำการผลิตเมลาโทนีน เมื่อตารับแสงน้อยลง คือตอนโพล้เพล้

คนในยุคปัจจุบัน ไม่ชอบบรรยายกาศช่วงโพล้เพล้ เพราะเราตื่นกันยันดึกทุกวันจนเป็นนิสัย พอวันไหนว่างพอจะรับรู้ยามโพล้เพล้ เราจะรู้สึกผิดปกติ เพราะเจ้าต่อมไพเนียลจะสั่งให้ร่างกายเข้าโหมดพักคือเตรียมนอน เพื่อเริ่มผลิตสารเมลาโทนินเอาไว้ใช้ยามตื่น แต่เรากลับเข้าใจว่ามืดคือเศร้า เลยกลัวมืด เลยพยายามทำให้สว่าง หาความสำราญ หางานมาต่อต้านความเศร้า ความมืด ต่อมเลยถูกแย่งเวลาทำงาน นานไปๆ ร่างกายเลยขาด Melatonin เมลาโทนิน เลยขาดความสดชื่น และกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปในที่สุด


วิธีแก้ไขง่ายๆ คือปรับความคิด และนิสัยเสียใหม่ให้กลับมายอมรับธรรมชาติเดิม คืออยู่กับความมืดอย่างเข้าใจ ไม่สำนึกว่ามันเป็นสิ่งผิดปกติ (เพราะสิ่งปกติของคนในยุคนี้ คือความผิดปกติ) เมื่อทำความเข้าใจไปนานเข้าๆ กระบวนการผลิตเมลาโทนีน ก็จะค่อยๆ ปรับตัวกลับมาดังเดิม ความสดชื่นก็จะคืนกลับมา และโรคซึมเศร้าก็จะหมดไป


คนกลัวเหงา ต้องอยู่กับความเหงา ต้องอยากอยู่เงียบๆคนเดียว ต้องอยากอยู่กับความมืด เพื่อให้โอกาสต่อมไพเนียลได้ทำงานของมัน ความเหงาจึงจะหมดไป

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ปฐมบทของโรคหดหู่ 5 โมงเย็น


ปฐมบทของโรคหดหู่ 5 โมงเย็น

ปฐมบทของโรคหดหู่ 5 โมงเย็น. โรคเหงา on time หรือ โรคซึมเศร้า เกิดจากยามพระอาทิตย์จะลับโลก ประสาทรับแสงที่ตาจะส่งข้อมูลไปยังสมองส่วนควบคุมเวลาอัตโนมัติ ว่าถึงเวลาพักงานของจิตสำนึก เพื่อเข้าสู่่ Standby Mode แล้ว คือถึงเวลานอน ให้สมองได้ทำการ Disk Defragment, Cleanup Disk etc... เพื่อให้มีเนื้อที่ในสมองสำหรับรับเรื่องใหม่ในวันรุ่งขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใน Standby Mode ประสาทตาจะรับแสงน้อยลง เพื่อเตรียมพัก จนง่วง เงา หาว นอน และหลับไปในที่สุด

นี่คือธรรมชาติปกติของมนุษย์ !!!

แต่ชีวิตในสังคมปัจจุบัน มันไม่เป็นไม่ตามธรรมชาติ คนทำงานข้ามเวลาเปลี่ยนกะของระบบประสาทไป เลยไม่ค่อยรับรู้ตอนเกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่



ปัญหาจึงเกิดยามว่างคือ วันหยุด หรือ วันว่างหลังเกษียร หรือ วันของวัยที่ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว เนื่องจากมีทรัพย์เพียงพอแล้ว
การรับรู้ถึงความมัีว สลัว เงียบ ยามเปลี่ยนกะเพื่อเข้าสู่ Standby Mode ให้จิตใต้สำนึกเริ่มทำงาน เพิ่งถูกสังเกตุ ทำให้รู้่สึกไปว่าจิตเศร้าหมอง จิตสำนึกไม่ยินยอมพร้อมใจ คิดว่าเป็นปัญหา เป็นป่วย เป็นโรค ต้องแก้ไข สมองเลยตั้งเป็นคำสั่งให้หาทางพ้นทุกข์อันนี้ เรื่องธรรมชาติปกติอันนี้เลยกลายเป็นทุกข์ เป็นโรคหดหู่ ซึมเศร้า เหงา เงียบ ไปโดยปริยาย ซึ่งหากไม่เข้าใจสาเหตุแท้ จะหลงไปแก้ไขหลายทาง บ้างว่าน่าจะเ้ป็น พากินสัน อัลไซเมอร์ ฯลฯ และจะแก้ได้ยากขึ้น เพราะเมื่อแก้แล้วไม่หาย จะเกิด Panic และคำสั่งจะวนลูปให้หาทางแก้ปัญหานี้ซ้ำลงไปเรื่อยๆ จนติดเข้าไปเป็นระบบอัติโนมัติ ทำให้ เกิดความเหงาฝังใจ แกะได้ยาก

ครวมนี้ไม่ต้องโพล้เพล้ก็เหงา ก็เศร้าได้ ในหัวจะวนเวียนแต่ความน่ากลัว ของคำว่า โรคประสาท หรือ บ้า จนส่งผลให้ไม่อยากเจอหน้าใคร ทำให้ยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ คนเยอะแค่ไหนก็เหงา แล้วจะแก้ปัญหาได้ยาก เพราะธรรมชาติเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ มีแต่ต้องทำความเข้าใจ และอยู่กับมันอย่างสมดุลเท่านั้น

การกินเหล้า เที่ยวเตร่ หากิเลสต่างๆ มากลบเกลื่อนความเหงา เงียบ เศร้า หดหู่ ทำได้ก็จริง พอเย็นปุ๊บก็หาอะไรทำปั๊ป หยุดปุ๊บก็วางแผนโน่นนี่ให้ยุ่งๆเข้าไว้ ตั้งเป้าหมายชีวิตให้สูงขึ้นๆ เพื่อจะได้มีเรื่องคิดให้มาก จะได้ไม่ว่างมารับรู้ความรู้สึกตอนเปลี่ยนกะที่เราคิดว่าเป็นโรค เป็นการแก้ปัญหาก็จริง แต่มันได้แค่ชั่วคราว หยุดเมื่อไหร่ก็รู้สึกได้อีก และถ้าหยุดนานมันก็เริ่มฝังคำสั่งอีกแก้ไม่เสร็จซักที

ผู้รู้และกลมกลืนกับธรรมขาติเท่านั้นจึงทุกข์น้อย เพราะไม่ส่งแรงไปดิ้นรนขัดขืนเปลี่ยนแปลงมัน แค่ดูมันด้วยความเข้าใจ และปรับตัวปรับใจให้กลับสู่ปกติตามที่มันควรจะเป็นชีวิตก็สดชื่นแล้ว และนี่จะเป็นก้าวแรกของความเป็น ผู้รู้ ผู้ตืน และ ผู้เบิกบานในที่สุด