
ผู้ดูไม่เจ็บ อันนี้เป็นเรื่องจริงที่ใครก็เถึยงไม่ได้ เวลาดูมวย หลายคนมักตะโกนสั่งตะโกนสอนกันอุตลุด 'อย่าเข้าไปคลุก บอกว่าอย่าเข้าไปคลุก รู้ว่าวงในสู้ไม่ได้ ยังเข้าไปอีก',
'ซ้ายเปิด ทำไมไม่ต่อย', 'ทำไมไม่ฉากออกว๊า เข้ามุมทีไรเจ้บทุกที', 'โห บื้อขนาดนี้ กลับไปเลี้ยงลูกดีกว่ามั๊ง'
ทุกกลยุทธเหล่านี้ หากให้ผู้พูดขึ้นไปชกเอง คงต้องกลับบ้านไปเลี้ยงลูกเหมือนกัน เพราะตอนเป็นคนดูมันไม่เจ็บ สมองมันว่างพอจะเห็น จะคิด จะวิเคราะห์ แต่ตอนไปต่อย มันนัวเนีย มัวหัว มัวตา กลัวเจ็บ กลัวจอด มันจะเอาหัวที่ไหนไปคิดทัน แค่กันไม่ให้เจ็บเฉพาะหน้าก็เกินรับแล้ว
เวลาคนอยู่ในปัญหา ในทุกข์ก็ไม่ต่างจากคนชกมวยเท่าไหร่ มันวนอยู่แต่ทุกข์แต่เจ็บ จะเอาตอนไหนไปแจ่มใสพอจะแก้ทางแก้ทุกข์ได้
นักมวยต้องฝึกหนทางแก้มวย ทุกทาง ทุกวิธี ที่คิดได้ และนำไปฝึกหนักกันทุกวัน วัตถุประสงค์เพื่อฝังข้อมูล ฝังทุกภาพที่จำลองเอามาจากของจริงที่เคยผ่าน และฝังจำทุกวิธีแก้ที่คิดขึ้นได้เข้าไปจนมีน้ำหนักการจำซ้ำ ทำซ้ำมากพอที่จะถูกบรรจุเข้าในระบบอัตโนมัติ ที่เราเรียกกันว่าความชำนาญ ซึ่งตอบโต้ได้ไว ใช้เวลาคิดน้อย และหากถ้าทำเยอะเข้าๆ ความชำนาญจะถูกพัฒนาขึ้นเป็นสัญชาตญาณที่ไม่ต้องการเวลาในการคิด ทำให้ตอนชกไม่ต้องเสียเวลาคิด พอเห็นภาพการกระทำของคู่ต่อสู้ที่เราเฝ้าจดเฝ้าจำมาตลอด ยุทธวิธีตอบโต้ที่ถูกฝังไว้ก็จะถูกนำมาใช้เองโดยอัตโนมัติภายใต้การทำงานของจิตใต้สำนึก หรือ AI (ระบบปัญญาประดิษฐ์)
ระบบตัดสินใจอัตโนมัติของมนุษย์ ใช้วิธีจำภาพ (photo recognition) ไม่ได้คำนวน เพราะหากจะหลบรถมัวแต่คำนวน ระยะทาง/ความเร็ว ของวัตถุ 2 สิ่งที่กำลังตรงเข้าหากัน แค่คำนวนแรกเพื่อหาระยะทางจากภาพที่ใหญ่เข้่ามาๆ ก็ชนแล้ว หมัด ก็เช่นกัน เห็นเขาออกหมัดมาแล้ว มัวแต่คำนวนก็คงได้ถูกหามลงแน่
ดังนั้น หากรอทุกข์เกิด แล้วค่อยคิด ก็ไม่ผิดกับมือใหม่หัดขับ จับพวงมาลัยจนเหงื่อนชุ่มแล้วชุ่มอีก ทุกข์ทีก็เสียแรงจิตแรงใจไปมหาศาลกว่าจะหลุดออกจากวังวนได้เล่นเอาต้องหมดพลังงานจนอ่่อนเปลี้ยเพลียแรงกันเสียก่อนจึงหยุดสะลึมสะลือได้สักพัก พอมีแรง ก็เอาอีก คิดใหม่ ทุกข์ใหม่อีก จนมันซ้ำบ่อยเข้่าๆ นานเข้าๆ ก็เริ่มมีน้ำหนักมากพอยอมรับเป็นทุกข์ปกติได้ถึงเลิกทุกข์ เหมือนกับพอขับนานเข้าๆ ก็เก่งก็ไม่เกร็งไม่มีเหงื่อซึมออกมือแล้ว

การดูจิต หรือ มหาสติปัฏฐาน 4 เป็นทางสายเดียวที่จะออกจากทุกข์ได้ กรรมวิธีก็เหมือนกับการฝึกชกมวย คือฝึกดูภาพและผลของทุกข์ที่เกิดที่ใจ และฝังทางแก้ คือความสงบผ่อนคลายไว้ให้มากพอ จนเมื่อภาพทุกข์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น เจ็บป่วยทรมานจากโรคภัย น้อยใจ เสียใจ อยากได้ กลัวเสีย วิตก เครียด หวาดกลัว กระวนกระวาย โมโห เขินอาย อิหลักอิเหลื่อ ฯลฯ ตลอดจนทางแก้คือ 'สงบสยบเคลื่อนไหว' ถูกบันทึกเข้าไปในระบบอัตโนมัติ จนถึงระดับสัญชาตญาณ พอทุกข์ในรูปแบบต่างๆที่เคยถูกบันทึกไว้เกิดขึ้น ระบบ AI ก็จะเข็นเอาความสงบออกมาผ่อนคลายให้เอง ทุกข์ทางใจก็จะหมดไป
แล้วทุกข์ทางกายภาพล่ะ ไอ้ที่จน มันก็ยังจน ไอ้ที่เจ็บป่วย มันก็ยังป่วย มันจะหายไหม คำตอบคือไม่หาย แต่ไม่นับเป็นทุกข์อีกแล้ว เพราะใจมันสงบอยู่ มันจะทุกข์ได้ยังไง มันทำงานได้ทีละอย่าง เมื่อใจดีใจสบาย สมองก็ปลอดโปร่ง ความถี่ที่ส่งออกไปรอบตัวก็ดี ความถี่หรือกรรมสะท้อนกลับก็ต้องดีตามเป็นลูกโซ่ สิ่งดีๆก็อาจจะเวียนเข้ามาในชีวิตเอง หากไม่ได้ปล่อยสิ่งไม่ดีออกไปเยอะเกิน กรรมมันเข้าออกตามคิว ตามหนัก ตามเบา ตามหยาบ ตามละเอียดของจิตของใจทีส่งออกไปรอบทิศตลอดเวลา
ฝึกมหาสติตลอดเวลา ภายในที่ได้คือสัญชาตญาณที่สามารถออกจากวังวนของทุกข์ได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร ภายนอกที่ได้คือกระแสสงบเย็นที่ถูกปลดปล่อยออกมาตลอดเวลาจะเรียกหาความสงบเย็นกลับมาให้เช่นกัน.....
Link มหาสติปัฏฐาน 4 http://dungtrin.com/index.php?option=com_docman&task=cat_view&gid=95&Itemid=299